วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ศาสนาอียิปต์โบราณ

ศาสนาอียิปต์โบราณ

ศาสนาอียิปต์โบราณถือกำเนิดขึ้นในแผ่นดินที่เรียกว่าอียิปต์ หรือ ไอยคุปต์ สมัยโบราณ ซึ่งตั้งอยู่บนทวีปอาฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือ มีเนื้อที่ทั้งหมดเมื่อ 7,000ปี ไม่กว้างใหญ่มากนัก ยาวไปตามลำน้ำไนล์ ในปัจุบันอียิปต์มีเนื้อที่ 383,000 ตารางไมล์ ทิศเหนือติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันออก ติดทะเลแดง ทิศตะวันตกและทิศใต้มีทะเลทรายเป็นขอบเขต มีทางติดต่อกับทวีปเอเชียโดยอาศัยคลองสุเอซเป็นแนวสะพาน
จากชนกลุ่มต่างๆที่มารวมตัวกันตามลุ่มน้ำไนล์ ซึ่งแต่เดิมนั้นชนกลุ่มต่างๆนี้ไม่มีความรู้ในเรื่องภูมิศาสตร์ ไม่มีใครรู้ว่าลำน้ำสายนี้เกิดมาได้อย่างไร ไหลมาจากที่ไหน เพราะอะไรจึงให้ผลแก่ชาวไร่ เพราะอะไรจึงไหลบ่า ท่วมท้น จนเกิดความเสียหายล้มตาย ความไม่รู้เหล่านี้เอง จึงกลายเป็นบ่อเกิดแห่งศาสนาและศรัทธา

คติแห่งศรัทธา

M.Marittite นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส อ้างผลการสำรวจของ Herodotus ผู้เป็นปราชญ์ในสมัยกรีกโบราณ ไว้ในบันทึกของตนว่า...การนับถือศาสนาของอียิปต์โบราณนั้นสามารถแบ่งประเภทแห่งศรัทธาให้ศึกษาได้ดังนี้...
1. การนับถือสัตว์เป็นพระเจ้า
2. การนับถือดวงวิญญาณ
3. ศพอาบยา และ มรณะคัมภีร์
4. พิธีกรรมและนักบวช
5. หมวดหมู่ ของเทพเจ้า
6. อิทธิพลของศาสนา

ซึ่ง ในตอนที่ 1 นี้จะกล่าวถึง
การนับถือ สัตว์เป็นพระเจ้า

จะเห็นได้ว่าตามหัวเมืองใหญ่ๆ จะมีรูปปั้นสัตว์นานาชนิด ประดิษฐานอยู่ตามเทวสถานและประตูเมือง เป็นรูปเคารพอย่างหนึ่ง นับเป็นหนึ่งในจำนวนเทพประจำหัวเมือง ทั้งนี้เนื่องจากว่าสัตว์แต่ละประเภทมีความสำคัญในตัวของมันเอง สามารถทำประโยชน์แก่มนุษย์

ความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์กับมนุษย์ ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์มีฐานะเป็นเทพเจ้า มีปรากฏดังนี้

- นับถือโดยคุณลักษณะ เช่น สุนัขมีความซื่อสัตย์ต่อมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของ, นกเหยี่ยวที่บินอยู่ในอากาศ มีความอาจหาญในการโฉบเฉี่ยวอาหาร, แม่โค มีหน้าที่รับใช้ในเวลาปลูกพืชและให้นมแก่ผู้เยาว์วัยจึงเป็นตัวแทนของความอดทนและความกรุณาปรานี, แมลงทับซึ่งมีอยู่มากตามต้นปาปิรุสที่ขึ้นริมฝั่งแม่น้ำไนล์มีความขยันหมั่นเพียรในการสร้างที่อยู่ จึงเป็นตัวแทนของความเจริญ

*** แมลงทับ....มีปีกเป็นสีเหลือบทอง และมักเกาะกินตามต้นปาปิรุส ซึ่งชาวอียิปต์เอามาใช้เป็นกระดาษเขียนหนังสือ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของโลก ในสมัยอียิปต์โบราณแมลงทับ เป็นสัตว์ประหลาด เนื่องจากสีเหลือบทองของปีกแมลงทับ ทำให้เวลาดูจากมุมมองต่างๆกันจะเห็นเป็นแมลงทับมีสีที่ต่างกัน บางทีก็สีทอง บ้างก็สีเขียว และจากความไม่รู้มูลเหตุที่มาของสีที่ต่างกันของแมลงทับ ชาวอียิปต์จึงอาศัยความไม่รู้นั้นกำหนดว่าแมลงทับเป็นสัตว์วิเศษและเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง
ความวิเศษของแมลงทับที่สำคัญที่สุดคือ เป็นสัตว์ที่สร้างที่อยู่อาศัยโดยการใช้ปีกขนเอาดินมาทีละน้อย จนเป็นรังใหญ่ ชาวอียิปต์โบราณจึงถือว่าแมลงทับเป็นสัตว์น่าเคารพ เพราะเป็นตัวแทนของพระเจ้าที่สร้างโลก คติเรื่องการสร้างโลกจึงกำเนิดขึ้นโดยอาศัยแมลงทับ....

***ว่ากันเรื่องการสร้างโลก ความคิดของชาวอียิปต์เองก็ไม่สามารถหาข้อยุติได้ แต่ที่เชื่อกันเป็นส่วนมากคือ เชื่อว่า เดิมนั้นจักรวาลเป็นที่มืด เป็นมหาสมุทร มีแต่น้ำ ต่อมาก็มีดอกบัวหลวงดอกหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นจากบัวหลวงดอกนั้น แล้วลอยขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้า และดอกบัวดอกนั้นกลายเป็นโลก

- สัตว์ประเภทต่างๆสมัยอียิปต์โบราณ ทำประโยชน์ให้มนุษย์มาก ทั้งในยามสงบ และยามสงคราม เมื่อกษัตริย์เสด็จออกศึก ก็จะทรงเลือกเอาสัตว์ที่เป็นกำลังในสงครามไปด้วย เช่น ม้า สิงโต เมื่อชนะศึกกลับมาก็จะทำพิธีบูชา...สุดแต่สัตว์นั้นไปทำความดีอะไรให้ มนุษย์ก็ยอกกราบไหว้สัตว์นั้น ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า ชาวอียิปต์โบราณเป็นชาติที่รู้จักบุญคุณของสัตว์ และเป็นเครื่องแสดงใด้ว่ามนุษย์เป็นผู้สร้างเทพเจ้า มิใช่เทพเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์

จากการขุดค้นของนักโบราณคดี ที่ห้องเก็บศพของกษัตริย์ พบภาพต่างๆที่อยู่ตามผนังปีรามิด ซึ่งสลักบนแผ่นหิน มี่รูปสัตว์ต่างๆ เช่น นกเหยี่ยว, สุนัข แม่โค สัตว์เหล่านี้มีนิยายที่เกี่ยวข้องอยู่กับเรื่องดวงวิญญาณ ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป...

- เทพเจ้าต่างๆเป็นเพียงปรากฏการณ์ซึ่งสมมุติในความคิด ที่จริงปราศจากรูปร่าง แต่ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า หากเทพเจ้าไม่ได้อวตารลงมาในร่างใดร่างหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดซึ่งเป็นรูปให้ยึดถือกราบไหว้ได้ แต่รูปอะไรก็ไม่ดีเท่ารูปที่เห็นกันอยู่ ดังนั้น ชาวอียิปต์จึงตั้งสัตว์ที่มีคุณแก่มนุษย์ก็ดี สัตว์ที่มีความสามารถหรืออำนาจในตัวมันเองก็ดี เป็นรูปแห่งการอวตารของเทพเจ้า

**ข้อนี้ ชวนให้ระลึกถึงหลักจิตวิทยาที่ว่า...มนุษย์จะได้ความรู้สึกครั้งแรกจากสายตา และมีความพอใจเมื่อมีรูปมาสัมผัสทางกาย ยิ่งกว่าการสัมผัสทางใจ

การนับถือสัตว์เป็นร่างอวตาร ได้ก้าวหน้ามาเป็นลำดับจนกระทั่งเมื่อกษัตริย์ Menes ได้รวมอียิปต์บนและ อียิปต์ล่างเป็นดินแดนเดียวกัน และตั้งเมือง Memphis เป็นเมืองหลวง และยกมหาเทพ.... Ptah หรือ Amenra (เทพแห่งดวงอาทิตย์) เป็นมหาเทพแห่งอียิปต์

พระเจ้า Menes ทรงจัดการปกครองใหม่ พร้อมกับจัดระเบียบการนับถือเทพเจ้าใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งเหยิงทางศาสนาเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งเหยิงทางบ้านเมือง โดยการจัดระเบียบการนับถือเทพเจ้าใหม่นี้.... พระเจ้า Menes ว่าทรงบัญญัติใหม่ว่า...แต่เดิมบรรดาเทพเจ้าที่เคยอวตารสถิตย์ในร่างของสัตว์นั้น ..สมควรให้อวตารลงมาในรูปคนกันเสียที ตั้งแต่สมัยนั้นเป็นต้นมา เทพเจ้าของอียิปต์จึงเป็นคนมากกว่าสัตว์ บ้างมีตัวเป็นคนหัวเป็นสัตว์ก็มี บ้างก็มีตัวเป็นสัตว์หัวเป็นคนก็มี

สัตว์ประเภทต่างๆที่ชาวอียิปต์นับถือเป็นเทพเจ้ามีอยู่เกือบ 100 ชนิด ส่วนมากเป็นสัตว์น้ำและสัตว์ป่า มีการออกกฎหมายห้ามชาวประมงและนักล่าสัตว์ฆ่าสัตว์หลายชนิด ถ้าใครฆ่าสัตว์ที่มีค่า ที่มีการขึ้นบัญชีว่าเป็นอวตารของเทพเจ้า ก็จะมีโทษถึงประหารชีวิต สัตว์ที่ได้รับการเคารพบูชามากที่สุดได้แก่ แม่โค ซึ่งได้รับความนับถือว่าเป็นอวตารของพระนาง Isis ส่วนพ่อโค เป็นอวตารของ Osiris

รูปของ Isis และ Osiris นั้นบนศีรษะจะเป็นรูปดวงอาทิตย์ ขึ้นในระหว่างภูเขา ซึ่งสมมติ เป็นรูปเขาโคทั้ง 2 ข้าง ที่หน้าผากมีจุดขาว ขนดำสนิทเรียกว่า Abis จากรูปซึ่งแสดงนี้ โคจึงเป็นเครื่องหมายของดวงอาทิตย์ด้วย

ต่อมา มีการนับถือพ่อโค แม่โค ว่าแทนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ กล่าวคือ พ่อโค คือตัวแทนของ Osiris เสมือนดวงอาทิตย์ที่ให้ความสว่างในตอนกลางวัน ส่วนแม่โค คือตัวแทนของ Isis เปรียบเสมือนดวงจันทร์ที่ให้ความสว่างในเวลากลางคืน (ซึ่งถ้าดูจากเทพนิยายแล้ว Isis และ Osiris เป็นกษัตริย์ สามี-ภรรยาที่ต้องพลัดพรากจากกัน เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ )

จากการขุดค้นของนักโบราณคดี เมื่อ คศ.1852 พบซากเมืองเมมฟิส และได้พบรูปปั้นโคเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่า โคได้รับการยกย่องเป็นเทพเจ้าชั้นสูง ประจำเมืองเมมฟิส ซึ่งนับเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ

สัตว์ประเภทใด ถ้ามีผู้รับนับถือว่า ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในเมืองใด ก็จะมี อำนาจขอบเขตอยู่ในเมืองนั้น ไม่ปะปนกัน สัตว์ทุกประเภทที่ชาวอียิปต์เชื่อว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ก็มีความศักดิ์สิทธิ์จริง เท่ากับเทพเจ้า หรือคนสำคัญคนหนึ่ง โดยหลักแห่งศรัทธาของชาวอียิปต์โบราณ เชื่อว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เหล่านี้มีวิญญาณที่ไม่ดับสูญเช่นเดียวกับคน ดังนั้นเมื่อสัตว์นั้นตายลง คนที่นับถือสัตว์ จึงทำมัมมี่สัตว์ไว้เช่นเดียวกับมัมมี่คน ถ้าไม่ทำเป็นมัมมี่ ก็มักทำเป็นรูปปั้นสัตว์นั้น ใส่ลงในหีบสลักหิน ฝังไว้ในอุโมงค์เช่นเดียวกับคน จากการขุดค้นของนักโบราณคดี ตามหัวเมืองต่างๆ มีการพบรูปปั้น สัตว์ในหีบสลักหิน และมัมมี่สัตว์ชนิดต่างๆ เช่น แพะ สุนัข นก จระเข้ แมว โค งู แมลงทับ ฯลฯ

สรุปแล้วการนับถือสัตว์เป็นเทพเจ้า เพราะชาวอียิปต์มีศรัทธาในคุณลักษณะความดี ความกล้าหาญของสัตว์ และมีความกตัญญู ต่อสัตว์ที่ทำประโยชน์ให้แก่ตนด้วย ชาวอียิปต์ก็คือคนที่มีความกลัวต่อความลึกลับที่ตนไม่สามารถหาต้นสายปลายเหตุได้ เช่นเดียวกับคนโบราณทั้งปวง


อ่านต่อ :http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=211222&chapter=37#ixzz15ku098Iy

เทวีไอซิส

เทวีไอซิส
เทวีไอสิส
เทวีไอซิส(Isis)ทรงประสูติในวันที่ 4 ที่เพิ่มเข้ามา ทรงเป็นเทวีที่มักได้รับความเคารพคู่กับเทพโอซีริสกล่าวกันว่าทั้งสองพระองค์ให้กำเนิดเทพฮอรัสโดยการรวมตัวกัน ในขณะที่เทพฮอรัสยังอยู่ในพระครรภ์หรือหลังจากเทพโอซีริสสิ้นพระชนม์แล้ว
ในช่วงที่เทพโอซีริสยังอยู่ พระนางมีบทบาทเพียงช่วยพระสวามีในการสร้างอารยธรรมแก่มวลมนุษย์ เพราะพระนางคือเทวีแห่งมารดร หลังจากเทพโอซีริสวรรคตแล้วพระนางจึงมีบทบาทมากขึ้น ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับพระนาง เทพโอซีริสและพระโอรสอีกมากมาย
สัญลักษณ์ของเทวีไอซิสมีหลายแบบ พระนางอาจเป็นมนุษย์ที่มีศีรษะเป็นวัว หรือมีดวงจันทร์สวมบนศีรษะ หรือสวมมงกุฎรูปดอกบัวและมีหูเป็นข้าวโพด หรือถือขาแพะ สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ แต่ถ้าเป็นรูปปั้นมักเป็นรูปพระมารดากำลังให้นมเทพเจ้าฮฮรัสอยู่ แสดงถึงการปกป้องเด็กๆจากโรคภัย บนศีรษะมีเขาสองเขาและมีวงสุริยะอยู่ตรงกลาง


เทพอานูบิส

เทพอานูบิส

เทพอานูบิส
เทพอานูบิส(Anubis)เป็นพระโอรสของเทวีเนฟธีสและเทพโอสิริสทรงมีสัญลักษณ์เป็นสุนัขหรือสุนัขจิ้งจอก ซึ่งเป็นสัตว์ในทะเลทรายใกล้สุสาน ทรงได้รับความเคารพมากในไอยคุปต์โดยเฉพาะในทะเลทรายแห่งตะวันตกที่เรียกว่าบ้านแห่งความตาย
ทรงเคยเป็นเทพแห่งความตายมาก่อนเทพโอสีริสและเป็นเทพแห่งความตายสำหรับฟาโรห์องค์แรก เทวีอีสิสทรงเลี้ยงพระองค์มาดั่งลูกในไส้ เมื่อโตขึ้นเทพอานูบิสจึงเป็นผู้ปกป้องพระนาง
พระองค์เป็นผู้เสาะหาน้ำมันหอมหรือยาที่หายากในการทำมัมมี่ศพเทพโอสีริสร่วมกับเทวีอีสิสและเทวีเนฟธีสพระมารดา จากนั้นพระองค์จะทำพิธีศพให้เทพโอสีริส พิธีที่พระองค์ทรงคิดขึ้นนั้นเป็นรูปแบบพิธีการฝังศพในเวลาต่อมา
มีความเชื่อว่าเทพอานูบิสมีบทบาทสามอย่างคือ
  • ทรงเป็นผู้ช่วยในการดองศพให้ถูกต้อง และสร้างองค์ประกอบขึ้นมาใหม่*
  • ทรงเป็นผู้รับมัมมี่ในหลุมศพเป็นการเปิดพิธีกรรม
  • ทรงเป็นสื่อกลางในการนำวิญญาณไปที่สนามแห่งของขวัญจากฟ้า โดยใช้มือปกป้องมัมมี่
ที่สำคัญที่สุดคือ ทรงเป็นผู้ช่วยในการชั่งวิญญาณ โดยเป็นผู้ดูตาชั่งอย่างละเอียด ส่วนเทพธอธจะเป็นผู้บันทึกการตัดสิน เมื่อถือว่าวิญญาณนั้นบริสุทธิ์แล้ววิญญาณจะไปเข้าเฝ้าเทพโอสีริส เพื่อพิพากษาให้ไปสู่ในโลกแห่งวิญญาณใหม่ หากไม่บริสุทธิ์จะถูกลงโทษอย่างโหดร้าย
เทพอานูบิสมีสัญลักษณ์เป็นชาย มีศีรษะเป็นสุนัขจิ้งจอกหรือเป็นสุนัขคอยติดตามเทวีไอสิสหรือเป็นสุนัขจิ้งจอก หรือสุนัขชูคอหมอบอยู่ที่ฐานหรือบนหลุมศพ


สนับสนุนโดย เรียนรู้การทำงานออนไลน์ได้ไม่รู้จบ

แม่น้ำไนล์

แม่น้ำไนล์
แม่น้ำไนล์(อังกฤษ: Nilesอารบิก: النيل an-nīl) เป็นแม่น้ำในทวีปแอฟริกาและเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก

แม่น้ำไนล์ ในบริเวณอียิปต์
แม่น้ำไนล์ ในบริเวณอียิปต์

แม่น้ำไนล์ และ กรุงไคโรด้านหลัง
แม่น้ำไนล์ และ กรุงไคโรด้านหลัง


ที่มาของชื่อ

คำว่า "Nile" ('nIl) มาจากคำว่า "เนย์ลอส" (ละติน : Neilos ;กรีก : Νειλος) ชื่อในภาษากรีกที่มีความหมายว่า "หุบเขาที่มีแม่น้ำ" อีกชื่อหนึ่งของแม่น้ำไนล์ในภาษากรีกคือ "ไอกึปตอส" (ละติน : Aigyptos ; กรีก : Αιγυπτος) ซึ่งแปลว่าแผ่นดิน "อียิปต์" นั่นเอง

แม่น้ำสาขา
แม่น้ำไนล์เกิดจากการรวมตัวของแม่น้ำสายใหญ่ 2 สายคือแม่น้ำบลูไนล์(Blue Nile) จากประเทศเอธิโอเปียและแม่น้ำไวท์ไนล์(White Nile) จากบริเวณแอฟริกาตะวันออก มารวมตัวกันในประเทศซูดานจากนั้นไหลผ่านประเทศอียิปต์และไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

แม่น้ำไวท์ไนล์
แม่น้ำไวท์ไนล์ กำเนิดจากทะเลสาบวิกทอเรียซึ่งอยู่ระหว่างประเทศยูกันดาประเทศเคนยาและประเทศแทนซาเนียแม่น้ำไนล์ช่วงที่ไหลออกจากทะเลสาปวิกทอเรีย จะเรียกแม่น้ำวิกทอเรียไนล์ซึ่งไหลไปยังทะเลสาบแอลเบิร์ทในช่วงนี้จะเรียกแม่น่้ำแอลเบิร์ทไนล์ไหลไปที่ประเทศซูดานรวมกับแม่น้ำหลายสาย และเรียกว่าไวท์ไนล์ตอนกลางประเทศก่อนจะไปรวมกับบลูไนล์

แม่น้ำบลูไนล์
แม่น้ำบลูไนล์ (*อ่านได้ว่า บลูไนเอวล์ เพื่อป้องกันการสับสนชื่อกับประเทศบรูไน) กำเนิดในประเทศเอธิโอเปียและไหลผ่านเข้าซูดานไปรวมกับไวท์ไนล์เลย

ประวัติศาสตร์
แม่น้ำไนล์เป็นแม่น้ำสายที่หล่อเลี้ยงทวีปแอฟริกาที่แห้งแล้ง จนทำให้เกิดอารยธรรมโบราณขึ้นมากมาย โดยที่รู้จักกันดีคืออารยธรรมอียิปต์เมื่อสมัยกว่าห้าพันปีที่แล้ว และยังสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับพื้นที่แถบนั้นด้วย


สนับสนุนโดย เรียนรู้การทำงานออนไลน์ได้ไม่รู้จบ

ความรักแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์

ความรักแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์
ความรักเป็นสิ่งที่จรรโลงให้คนเรามีชีวิตอยู่
ด้วยปีกแห่งรัก จึงดลบันดาลให้คนที่รักกันมาพบกัน
ด้วยพลังแห่งความรัก โลกใบนี้จึงดำรงคงอยู่ได้
และคนที่มีความรักอยู่ในดวงใจจะมีความสุข และได้พบกับสิ่งที่ดีๆ ในชีวิตเสมอ







การเดินทางท่องเที่ยวและได้พบปะผู้คนในดินแดนต่างๆ ที่มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างออกไป ทำให้ได้เห็นโลกกว้างขึ้น มีวิสัยทัศน์กว้างไกลขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้นักเดินทางทั้งหลายยังคงต้องออกเดินทางอยู่เรื่อยๆ ก็เป็นเพราะว่า พวกเขาเหล่านั้นได้พบกับความรักโดยไม่รู้ตัว
ในคณะเดินทางท่องเที่ยวประเทศอียิปต์ ดินแดนไอยคุปต์ ที่แสนจะลึกลับ ซึ่งหลายต่อหลายคนใฝ่ฝันว่าจะได้ไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิตนั้น สายแห่งน้ำที่หล่อเลี้ยงประเทศอียิปต์มานานแสนนานแล้ว และมีชื่อเสียงก้องโลก คงจะหนีไม่พ้น... 'แม่น้ำไนล์' ซึ่งเป็นแม่น้ำสายเดียวที่ไหลจากทิศใต้ โดยมีต้นกำเนิดมาจากน้ำตกวิคเตอเรียในประเทศซูดาน แล้วไหลขึ้นเหนือคดเคี้ยวลัดเลาะไปตามเนินทราย จนไปออกทะเล ที่ทะเลเมดิเตอเรเนียน
แม้จะเป็นช่วงเวลาที่แสนจะสั้นในการล่องเรือตามกระแสแห่งแม่น้ำไนล์ ก็ได้พบเห็นความรักในรูปแบบต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้ร่วมคณะได้แบ่งปันความสุขกันโดยถ้วนหน้า และเป็นความรักที่ต้องเดินทางไปแสวงหา จึงจะได้พบ
ได้เห็นความรักความเอื้ออาทรของคนเจ้าถิ่นในอาชีพต่างๆ ที่มีต่อกัน แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะยากจน แต่ก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันในการแบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์ ที่จะได้จากนักทัศนาจร ซึ่งกลายเป็นรายได้หลักของประเทศอียิปต์ไปแล้ว
ครั้งหนึ่งในการลงเรือใบที่ชื่อว่า เฟลุกกา ซึ่งเป็นเรือใบที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นเรือใบเสาเดียว และมีนายท้ายคัดหางเรืออยู่ที่ท้ายเรือ
ระหว่างที่แล่นเรือใบอยู่นั้น เจ้าของเรือก็เอาสิ่งของที่ระลึกออกมาขาย ใครจะซื้อหาก็ดี ไม่ซื้อหา ก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากตามตื้อบ้างเป็นธรรมดา คนที่เดินทางเป็นประจำจะมีลักษณะที่ต่างจากคนที่ไม่ค่อยท่องเที่ยว เพราะจะไม่มองเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องรำคาญใจแต่อย่างใด เนื่องจากทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองเขา ก็ต้องขาย ส่วนเราจะซื้อหรือไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร
จนกระทั่งเรือไปเทียบท่าริมสวนสวยงามกลางทะเลแห่งหนึ่ง ก็มีเรือเร่ขายของมาเทียบลำ เชื่อไหมว่าเจ้าของเรือใบก็เต็มใจให้เทียบ โดยไม่มีอาการรำคาญแต่อย่างใด แถมให้โอกาสเจ้าของเรือเร่ ทำมาค้าขายอย่างเต็มที่
...เห็นแล้วก็นึกถึงการถ้อยทีถ้อยอาศัยพึ่งพากันของคนไทยโบราณ ซึ่งนับวันยากที่จะพบเห็นขึ้นไปทุกที
การเดินทางย้อนอดีตขึ้นไปพบปะกับคนที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่ อยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนั้น ทำให้ชีวิตเป็นสุข เกิดความหวังในชีวิต เพราะได้เห็นสิ่งที่ดีงามที่เกิดจากความรักที่แบ่งปันกัน ผลัดกันเป็นผู้ให้ ผลัดกันเป็นผู้รับ
การเรียนรู้ที่จะให้และรับกันนั้น เป็นการเรียนรู้ที่พ่อแม่ทุกคน จะต้องปลูกฝังลูกหลานตั้งแต่ในวัยเยาว์พวกเขาจะได้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรม มีความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และย่อมจะเป็นที่แน่นอนว่า โลกของเราใบนี้จะสดใสและน่าอยู่มากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
นอกจากภาพน่ารักดังกล่าวแล้ว ยังได้เห็นไกด์พื้นเมืองช่วยขายของแทนให้หญิงชราชาวเมดูอิน ชนเผ่าเร่ร่อนกลางทะเลทราย ซึ่งมาขายที่คั่นหนังสือทำด้วยกระดาษปาปิรัส ราคา 10 แผ่น 1 ดอลลาร์ ทุกคนที่ร่วมคณะช่วยกันซื้อจนหมด และภาพที่พวกเรามองออกไปเห็นนอกรถก็คือ ภาพแห่งความสุขที่หญิงชราได้รับ ใครไม่เคยเห็นต้องไปเห็นเอง เพราะการหัดเป็นผู้ให้บ้างนั้น จะพบกับความสุขมากกว่าเงินที่เสียออกไป มากมายนัก
เนื่องจากเป็นการแบ่งปันให้แก่กัน... ด้วยความรัก!!!
ความรักต่อมาที่ได้ไปเห็น เป็นความรักของผู้หญิงที่มีต่อชายคนรักของเธอ เธอรักเขาอย่างมั่นคง ซื่อสัตย์จริงใจ ดูแลปกป้องเขา และลูกรักที่เกิดจากความรักของเธอและเขา จนคนอียิปต์นับถือเธอว่าเป็น... เทพีแห่งความรัก
เทพีไอซิส มเหสีของ เทพโอซิริส และมารดาของเทพธอรัสนั่นเอง ที่เป็นเทพีแห่งความรักชาวไอยคุปต์โบราณผู้ครองผืนแผ่นดินที่มีชื่อว่า ประเทศอียิปต์ ในปัจจุบัน
วิหารที่เป็นวิหารของเทพีไอซิสนั้น เป็นวิหารแห่งฟิเล่ ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ที่อยู่กลางแม่น้ำไนล์ แต่แรกเริ่มเดิมทีนั้น วิหารที่สร้างถวายเทพีไอซิส เทพีแห่งความรักนั้น อยู่ที่เกาะอีกแห่งหนึ่ง เมื่อมีการสร้างเขื่อนอิสวันกั้นแม่น้ำไนล์ตอนบน วิหารนี้จึงถูกน้ำท่วมและต้องย้ายขึ้นมาเหนือน้ำที่เกาะฟิเล่แทน วิหารแห่งความรักของเทพีไอซิสนั้น เป็นวิหารเล็กๆ แต่สวยงาม ภายในประดับประดาไปด้วยภาพแกะสลักลงไปบนแผ่นหิน จารึกเกี่ยวกับความรักของพระนางที่มีต่อสามี คือ เทพโอซิริส เทพผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์หนึ่งของไอยคุปต์ และความรักของแม่ที่พร้อมจะปกป้องผองภัย ให้ลูกชายสุดที่รัก คือเทพฮอรัส ซึ่งเป็นเทพแห่งแสงสว่างนั่นเอง
เรื่องราวของความรักความมั่นคงของเทพีไอซิส เทพีแห่งความรักนั้น ได้รับการต่อเติมเสริมแต่งกันมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เธอเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่เกิดมาพร้อมที่จะให้ความรักที่แสนจะบริสุทธิ์แก่ผู้ชายคนที่เธอรัก
และเมื่อเกิดรักแท้ขึ้นแล้ว ผู้หญิงจะมีความมั่นคง ซื่อสัตย์จริงใจต่อชายคนรักของเธอเสมอ ไม่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ หรือจากโลกใบนี้ไปแล้ว และด้วยความรักของเธอนั้น หากเธอมีเวทมนต์ที่จะทำให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นที่รักของเธอตลอดไป เธอก็จะทำและจะทำด้วยความมุมานะอย่างยิ่ง
เช่นเดียวกับความรักของเทพีไอซิส เทพีแห่งความรักของชาวอียิปต์ เธอมีรักกับเทพโอซิส ซึ่งเป็นเทพที่ปกครองอียิปต์ให้เจริญรุ่งเรืองมาในยุคสมัยหนึ่ง เทพีไอซิสเป็นตำนานแห่งความรักของผู้หญิงที่มีต่อสามีและลูกชาย ในครั้งที่เทพโอซิริสสวามีถูกประทุษร้ายโดยน้องชายตัวร้ายคือ เทพเซ็ต ซึ่งหลอกให้พระองค์ลงไปนอนในหีบศพ และจัดการตอกตะปูปิดฝาหีบโยนทิ้งลงแม่น้ำไนล์ ให้ไหลออกทะเลไป เทพีไอซิสก็ทรงแปลงกายเป็นนกสีขาวออกโบยบินตามหาสามีของเธอไปทุกหนทุกแห่ง
...ด้วยปีกแห่งความรัก
จนในที่สุดก็ตามพบศพของสวามีสุดที่รัก เธอจึงนำเอาหีบบรรจุศพของเทพโอซิริส เพื่อจะกลับมาทำพิธีซุบชีวิตที่อียิปต์ ปรากฏว่าเทพวายร้ายเซ็ตทราบเข้า ก็จัดการหั่นศพของเทพโอซิริสเป็นชิ้นๆ โดยแยกส่วนออกเป็น 14 ส่วน และนำไปทิ้งไว้ตามแดนต่างๆ ของอียิปต์ เพื่อป้องกันไม่ให้เทพไอซิสชุบชีวิตสามีของเธอ
แต่นั่นไม่ได้ทำให้เทพีไอซิสย่อท้อแต่อย่างใด เธอยังคงบินตามหาชิ้นส่วนต่างๆ ของสามีเธอ เมื่อพบชิ้นใดเธอก็จะสร้างเสาหินจำหลักเป็นเรื่องราวทิ้งไว้ทั่วดินแดนอียิปต์ ให้ทุกคนได้รับรู้ความรักของเธอที่มีต่อชายผู้เป็นที่รัก จนในที่สุดความพยายามอยู่ที่ไหน... ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
ด้วยพลังอำนาจของความรัก เทพีไอซิสก็สามารถรวบรวมเอาชิ้นส่วนของเทพโอซิริสจนครบ และนำมารวมกันประกอบเป็นร่าง แล้วพันด้วยผ้าขาวชุบน้ำมันหอมระเหย อันเป็นการเริ่มต้นของการทำมัมมี่ครั้งแรกตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ
...นั่นจึงเป็นเรื่องราวของตำนานแห่งความรักอีกตำนานหนึ่ง ซึ่งยังคงเล่าต่อสืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้
เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจของคนที่มีความรักในหัวใจ และเมื่อเป็นรักแท้แล้วอุปสรรคขวากหนามใดๆ ก็ตาม ย่อมจะไม่สามารถขวางกั้นขัดขวางได้
เพราะปีกแห่งความรัก... จะพาผู้ที่มีความรักไปทั่วทุกหนทุกแห่งhttp://www.elib-online.com/doctors46/mental_love003.html

สนับสนุนโดย เรียนรู้การทำงานออนไลน์ได้ไม่รู้จบ

เรื่องของคลีโอพัตราที่คุณยังไม่รู้?

เรื่องของคลีโอพัตราที่คุณยังไม่รู้?





















"คลีโอพัตรา ในมุมหนึ่งที่คุณไม่เคยรู้"

พอเอ่ยชื่อ " พระนางคลีโอพัตรา " ก็ให้รู้สึกลำบากใจที่จะต้องเขียนถึง ด้วยความที่เป็นชื่อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เอาเป็นว่าเราจะกล่าว ถึงเรื่องของพระนางเพียงพอสังเขปรวมถึงเรื่องราวในแง่มุม ที่คุณเองก็อาจจะไม่เคยได้รับรู้มาก่อน

เริ่มกันตั้ง แต่ชื่อ " คลีโอพัตรา " ที่ใครๆ เข้าใจเป็นชื่ออิยิปต์ แต่แท้ที่จริงแล้วชื่อนี้เป็นชื่อกรีกและยังเป็นกรีกมาซีโดเนียเสียด้วย ตามหน้าประวัติศาสตร์แล้วพระชายาองค์หนึ่งของพระเจ้าลิปซึ่งเป็นพระบิดาของพระเจ้า

อเล็กซานเดอร์มหาราช ก็ทรงมีพระนามว่า " คลีโอพัตรา " และเมื่อราชวงศ์ปโตเลมีของมาซีโดเนี่ยนขึ้นปกครอง


"คลีโอพัตรา องค์สุดท้าย"

ไอยคุปต์นาม " คลีโอพัตรา " จึงนิยมตั้งชื่อกันอย่างแพร่หลายในหมู่เจ้าหญิงของราชวงศ์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ราชินีคลีโอพัตราแห่งไอยคุปต์จึงมีถึง 7 พระองค์ ส่วนองค์ที่เราจะได้รับรู้เรื่องเบื้องลึก

ของพระนางในวันนี้เป็น ราชินีคลีโอพัตราองค์สุดท้าย พระนางทรงเป็นราชธิดาของฟาโรห์ออลีตีส

พระนางคลีโอพัตราในความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วไปคือพระราชินี้ผู้ทรงเสน่ห์ที่สุด มีรูปโฉมที่งดงาม

เพียบพร้อมไปด้วยกลเม็ดเด็ดพรายในเชิงพิศวาส ที่สามารถมัดใจชายผู้เป็นยอดนักรบที่กล้าแกร่งให้มาซบอยู่

ตักได้ถึงสองคนในเวลาใกล้เคียงกันแต่แท้ที่จริงแล้ว เสน่ห์ของพระนางคลีโอพัตราไม่ได้อยู่ที่เนื้อหนังมังสาหรือความงดงามแห่งใบหน้าและเรือนกายเลย แต่อยู่ที่สติปัญญาและความเฉลียวฉลาดรู้เท่าทันคนต่างหาก


"วาจาท่าทางแห่งมนต์เสน่ห์อันล้ำลึก"

การที่เราเข้าใจกันว่าพระนางมีเสน่ห์อันล้ำลึกยั่วยวนใจชายจนเหลือกำลังนั้นเป็นผลมาจากภาพของพระนาง

คลีโอพัตราที่เราเห็นจากภาพยนตร์ที่สร้างมาจากบทละครอันลือลั่นของวิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ ชื่อเรื่อง " แอนโทนี

คลีโอพัตรา " นั่นเอง และยิ่งละครและภาพยนตร์ยิ่งดังเท่าไรผู้คนก็พากันเชื่อมั่นว่าพระนางคลีโอพัตราจะต้องเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่านั้นแต่จากหลักฐานที่นักเขียนชีวประวัติลือนามอย่าง" พลูตาร์ค " ได้เขียนถึงพระนางคลีโอพัตราไว้ว่า " เราได้รับคำบอกเล่าว่า ความงามของคลีโอพัตรานั้นมิใช่งามเลิศไร้ที่ติจนดึงดูดสายตาของผู้พบเห็นในนาทีแรก แต่นางมีนางมีเสน่ห์อันใครต้านทานไม่ได้ มีบุคลิกแปลกและทรงอำนาจ จนทำให้ทุกวาจาและท่าทีของนางสะกดผู้คนให้ตกอยู่ในมนต์เสน่ห์อันนี้เอง "



Cleopatra & Caesar

























Cleopatra & Caesar


"สติปัญญาอันชาญฉลาด"

ส่วนหลักฐานยืนยันสิ่งที่สองคือรูปสลักของพระนางที่วิหารแห่งอเล็กซานเดรียกับลูกนกบนเหรียญกษาปณ์ที่

ทำขึ้นในสมัยนั้น ภาพของพระนางคลีโอพัตราคือหญิงสาวที่มีเรือนร่างอันอวบอ้วนใบหน้ากลม ปากบางสวย

แต่มีจมูกที่ทั้งใหญ่และงุ้มแม้ว่ารูปโฉมของพระนางคลีโอพัตรา ราชินีแห่งไอยคุปต์จะไม่เหมือนอย่างที่เราเคยรับรู้ แต่บุคลิกและเอกลักษณ์ของพระนางที่เลอค่ามากกว่ารูปโฉมจนกลายเป็นเสน่ห์ที่มั่นคงและมากขึ้นตามอายุไข นั่นก็คือ สติปัญญาและความรอบรู้พระนางทรงเชี่ยวชาญในด้านคณิตศาสตร์รอบรู้เรื่องรัฐศาสตร์และหลักการปกครองอันเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ดี รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์อย่างยอดเยี่ยม สามารถพูดได้ถึง 6 ภาษา รวมทั้งยังเก่งเรื่องอักษรศาสตร์และศิลปศาสตร์ เพราะตลอดเวลา 22 ปีที่ทรงครองบัลลังก์อยู่ พระนางแต่งโคลงกลอนไว้มากมายรวมทั้งให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูศิลปกรรมสาขาต่างๆ มากมายด้วยความเก่งกาจของพระนางคลีโอพัตราที่มีอยู่มากมาย ทำให้ฟาโรห์ผู้เป็นพระราชบิดาของพระนางแต่งตั้งให้พระนางขึ้นครองราชบัลลังก์คู่กับพระองค์ในปี 52 ก่อนค.ศ. และพระนางก็สามารถบริหารราชการบ้านเมืองคู่พระบิดามาได้ด้วยความเรียบร้อย จนเมื่อพระบิดาสวรรคต ความทุกข์ความขมขื่นในชีวิตของพระนางก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อตามธรรมเนียมไอยคุปต์ ที่สืบทอดบัลลังก์กันทางผู้หญิง โดยที่ราชธิดาของฟาโรห์จะได้รับการตระเตรียมเพื่อ


เป็นราชินีโดยที่จะต้องแต่งงานกันในระหว่างพี่น้อง

พระนางคลีโอพัตราจึงหนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ข้อนี้ พระนางถูกวางตัวให้อยู่ในตำแหน่งาชินีและต้องแต่งงานกับฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 น้องชายของพระนางเอง แต่โชคร้ายที่พี่น้องคู่นี้เกลียดกันถึงขนาดต้องการจะฟาดฟันให้ตายกันไปข้างหนึ่งทีเดียว ผู้เป็นน้องชายจึงจ้องจะหาทางกำจัดพี่สาว ส่วนพระนางคลีโอพัตราก็อยากจะกำจัดน้องชายเสียให้สิ้นเรื่อง แต่ในเวลานั้นพระนางยังไม่ทรงแน่ใจในอำนาจที่มีอยู่ในมือ จึงต้องเป็นฝ่ายล่าถอยออกจากเมืองอเล็กซานเดรียเพื่อไปตั้งหลักพระนางเริ่มมองหาพันธมิตรเพื่อช่วยเหลือในการกำจัดฟาโรห์ออกจากบัลลังก์ให้ได้ ซึ่งเป็นช่วงประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่โรงเริ่มรุกรานดินแดนแถบเมดิเตอร์เรเนียน โดยมี จูเลียส ซีซาร์เป็นแม่ทัพยกมาทางอียิปต์ พระนางเห็นเป็นจังหวะเหมาะถึงจึงลอบเข้าเมืองเพื่อไปหาซีซาร์มาถึงตอนนี้ที่เราเห็นในภาพยนตร์คือพระนางคลีโอพัตราซ่อนร่างอยู่ในม้วนพรมแล้วให้ทาสแบกเข้าไปในวังที่ซีซาร์พัก เมื่อคลี่พรมออกก็ปรากฏเรือนร่างเปลือยเปล่าของพระนางออกมาร่ายรำแต่จริงๆ แล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

แต่เป็นเพราะการเจรจาที่ฉลาดเฉียบแหลมทางสติปัญญาของพระนางต่างหากที่ทำให้ จูเลียต ซีซาร์ ยอมช่วย


ราชินีไอยคุปต์ให้ได้ครองบัลลังก์ แต่เพียงผู้เดียว

ซีซาร์บัญชาการทหารให้ทำลายล้างกองทัพอียิปห์ที่ต่อต้านพระนางคลีโอพัตรา และการสงครามในครั้งนี้ซีซาร์ได้เผาเรือรบของตนตามแผนยุทธการ แต่บังเอิญไฟได้ลามไปถึงหอสมุดอเล็กซานเดรียไหม้ส่วนที่เป็นเอกสารสำคัญเหตุการณ์เพลิงไหม้ในครั้งนนั้นได้รับการขนามนามให้เป็น " ความทรงจำของมนุษชาติ " พอเพลิงสงบก็พบศพของปโตเลมีที่ 13 จมอยู่ในแม่น้ำไนล์ในชุดเกราะทองครบครัน และเล่าลือกันว่าพระนางคลีโอพัตรานั่นเองที่เป็นคนผลักลงไปเมื่อปราศจากผู้ครองนคร ซีซาร์ในฐานะที่ตีเมืองได้ก็ต้องแต่งตั้งผู้ครองนครขึ้นมา น้องชายอายุ 12 ปีของพระนางคลีโอพัตราจึงได้เป็นปโตเลมีที่ 14

ส่วนซีซาร์และพระนางคลีโอพัตราก็กลายเป็นคู่เชยคู่ดังแห่งยุคเมื่อซีซาร์ยกทัพกลับกรุงโรมได้ไม่นาน พระนางคลีโอพัตราก็ตั้งครรภ์ พระนางได้ตั้งชื่อพระโอรสว่า ปโตเลมีซีซาร์ แต่คนทั่วไปเรียกว่า ซีซาร์เรียน พระนางพาโอรสมาเยือนกรุงโรมในปี 46 ก่อน ค.ศ. ตามคำเชิญของซีซาร์ซึ่งทำการต้อนรับพระนางอย่างยิ่งใหญ่ พระนางนั้นหวังว่าซีซาร์จะแต่งตั้งโอรสให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจ แต่ว่าจูเลียต ซีซาร์ก็ต้องมาถูกฆ่าตายกลางสภาในกลางเดือนมีนาคมปี 44 ก่อน ค.ศ. นั่นเอง ก่อนตายเขาได้แต่งตั้งหลานชายคือ อ๊อคตาเวีย ขึ้นครองกรุงโรม พระนางคลีโอพัตราจึงต้องพาโอรสกลับอเล็กซานเดรียด้วยความผิดหวัง


"ความรัก คลีโอพัตรา มาร์ค แอนโทนี่"

พระนางคลีโอพัตราเงียบหายไปหลายปีเพราะมัวยุ่งอยู่กับการฟื้นฟูอียิปต์และผูกไมตรีกับเพื่อนบ้านไม่ว่าจะ ยิว หรือ อาหรับ ในที่สุดอียิปต์ก็กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งจนกระทั่ง มาร์คุส อันโทนิอุส หรือ มาร์ค แอนโทนี ขุนพลของโรมันต้องส่งสารเชิญพระนางคลีโอพัตราไปพบเพื่อหารือขอความช่วยเหลือเมื่อพระนางไปพบ มาร์ค แอนโทนี่ ที่เมืองทาร์ซุส ความรักครั้งยิ่งใหญ่ก็บังเกิดขึ้นและดำเนินไปด้วยความหวานชื่น แต่ก็ให้เกิดเหตุบังเอิญเมื่อ ฟุลเวีย ภรรยาคนที่สามก่อกบฏ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แก่อ๊อคตาเวีย

และโดนประหารในที่สุด แอนโทนีจึงต้องกลับบ้านและตกลงแต่งงานกับน้องสาวของอ๊อคตาเวียเพื่อสานสัมพันธ์กันใหม่พระนางคลีโอพัตราแทบคลั่งเมื่อได้ทราบการแต่งงานของชู้รัก ต่อมาพระนางก็ให้กำเนิดลูกแฝดแก่แอนโทนีและตั้งชื่อว่า อเล็กซานเดอร์ เฮลิออส และ คลีโอพัตราเซเลเน แล้วจู่ๆ มาร์ค แอนโทนี ก็ติดต่อมาอีกทั้งคู่จึงกลับมาคืนดีกันด้วยความหวานชื่นอีกครั้งทางด้านกรุงโรมก็กำลังวุ่นวายเมื่อรู้ว่าแอนโทนีกับคลีโอพัตราสนิทแนบแน่นกันนั้น อาจจะกำลังมีแผนการอย่างอื่นอยู่ อ๊อคตาเวียจึงเรียกร้องให้คลีโอพัตราส่งเสบียงกรังมาเป็นส่วย แต่แอนโทนีห้ามไว้


"สงครามอียิปต์"

เมื่อแน่ใจแล้วว่าแอนโทนีกำลังแปรพักตร์ไปเข้ากับอียิปต์ อ๊อคตาเวียจึงประกาศให้ชาวโรมฟังว่าแอนโทนีมี

แผนจะย้ายเมืองหลวงหรือก่อกบฎนั่นเอง แอนโทนีจึงประกาศว่าอ๊อคตาเวียไม่ใช่ทายาทที่ถูกต้อง แต่ซีซาร์เรียน

เท่านั้นที่เป็นทายาทตัวจริงของซีซาร์และมีสิทธ์ครองกรุงโรม อ๊อคตาเวียจึงเกลี้ยกล่อมสภาซีเนทของโรมให้เห็นถึงอันตรายของอียิปต์ภายใต้การปกครองของแอนโทนีและคลีโอพัตรา ในที่สุดโรมจึงประกาศสงครามกับอียิปต์ปี 31 ก่อน ค.ศ. กองทัพโรมันก็บ่ายหน้าสู่อียิปต์ มาร์ค แอนโทนียกกองทัพเรือออกไป โดยมีคลีโอพัตราลงเรือของเธอไปสังเกตการณ์ กองทัพของฝ่ายโรมันและอียิปต์เข้าโรมรันกันอย่างดุเดือด พระนางคลีโอพัตราตกพระทัย

ในศึกดุเดือดเบื้องหน้า จึงสั่งให้เรือของเธอกลับลำหนี เมื่อแอนโทนีหันมาเห็นเข้าก็ถอดเสื้อเกราะทิ้งแล้วแล่นเรือไล่ตามหลังพระนางมา การรบเป็นอันจบสิ้น รวมทั้งชีวิตของคนทั้งสองด้วย




Death of Cleopatra


















Death of Cleopatra


"ความลับตลอดกาล"

เมื่อพบกับความพ่ายแพ้ มาร์ค แอนโทนี จึงฆ่าตัวตายในอ้อมแขนของพระนางคลีโอพัตรา ส่วนพระนางก็ดื่ม

ยาพิษฆ่าตัวตายตามคู่รักไป อียิปต์จึงตกเป็นของโรมันตั้งแต่นั้นมาหลักฐานของเหตุการณ์ต่างๆ ยังคงปรากฏให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาประวัติศาสตร์กันมาหลายยุคหลายสมัย แต่เว้นอยู่อย่างเดียวคือ ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่จะระบุสุสานของ มาร์ค แอนโทนี และ พระนางคลีโอพัตรา อยู่ที่ไหนความลับเกี่ยวกับที่เก็บศพของคู่รักบันลือโลกคู่นี้จึงยังเป็นความลับอยู่ตลอดมา



แหล่งข้อมูล : รวมเรื่องโบราณคดี
http://variety.teenee.com/world/1269.html


สนับสนุนโดย การทำงานออนไลน์ที่สร้างรายได้ไม่แพ้งานประจำ

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประวัติศาสตร์ ประเทศอินอียิปต์


อียิปต์โบราณ
อียิปต์โบราณ หรือ ไอยคุปต์ เป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ตั้งแต่ตอนกลางจนถึงปากแม่น้ำไนล์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอียิปต์ อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นประมาณ 3150 ปีก่อนคริตศักราช โดยการรวมอำนาจทางการเมืองของอียิปต์ตอนเหนือและตอนใต้ ภายใต้ฟาโรห์องค์แรกแห่งอียิปต์ และมีการพัฒนาอารยธรรมเรื่อยมากว่า 3,000 ปี ประวัติของอียิปต์โบราณปรากฏขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือที่รู้จักกันว่า "ราชอาณาจักร" มีการแบ่งยุคสมัยของอียิปต์โบราณเป็นราชอาณาจักร ส่วนมากแบ่งตามราชวงศ์ที่ขึ้นมาปกครอง จนกระทั่งราชอาณาจักรสุดท้าย หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า "ราชอาณาจักรใหม่" อารยธรรมอียิปต์อยู่ในช่วงที่มีการพัฒนาที่น้อยมาก และส่วนมากลดลง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่อียิปต์พ่ายแพ้ต่อการทำสงครามจากอำนาจของชาติอื่น จนกระทั่งเมื่อ 31 ปีก่อนคริตศักราชก็เป็นการสิ้นสุดอารยธรรมอียิปต์โบราณลง เมื่อจักรวรรดิโรมันสามารถเอาชนะอียิปต์ และจัดอียิปต์เป็นเพียงจังหวัดหนึ่งในจักรวรรดิโรมัน

อารยธรรมอียิปต์พัฒนาการมาจากสภาพของลุ่มแม่น้ำไนล์ การควบคุมระบบชลประทาน, การควบคุมการผลิตพืชผลทางการเกษตร พร้อมกับพัฒนาอารยธรรมทางสังคม และวัฒนธรรม พื้นที่ของอียิปต์นั้นล้อมรอบด้วยทะเลทรายเสมือนปราการป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอก นอกจากนี้ยังมีการทำเหมืองแร่ และอียิปต์ยังเป็นชนชาติแรกๆที่มีการพัฒนาการด้วยการเขียน ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้

การบริหารอียิปต์เน้นไปทางสิ่งปลูกสร้าง และการเกษตรกรรม พร้อมกันนั้นก็มีการพัฒนาการทางทหารของอียิปต์ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ราชอาณาจักร โดยประชาชนจะให้ความเคารพกษัตริย์ หรือฟาโรห์เสมือนหนึ่งเทพเจ้า ทำให้การบริหารราชการบ้านเมืองและการควบคุมอำนาจนั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ชาวอียิปต์โบราณไม่ได้เป็นเพียงแต่นักเกษตรกรรม และนักสร้างสรรค์อารยธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นนักคิด, นักปรัชญา ได้มาซึ่งความรู้ในศาสตร์ต่างๆมากมายตลอดการพัฒนาอารยธรรมกว่า 3,000 ปี ทั้งในด้านคณิตศาสตร์, เทคนิคการสร้างพีระมิด, วัด, โอเบลิสก์, ตัวอักษร และเทคนิคโลยีด้านกระจก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาประสิทธิภาพทางด้านการแพทย์, ระบบชลประทานและการเกษตรกรรม อียิปต์ทิ้งมรดกสุดท้ายแก่อนุชนรุ่นหลังไว้คือศิลปะ และสถาปัตยกรรม ซึ่งถูกคัดลอกนำไปใช้ทั่วโลก อนุสรณ์สถานที่ต่างๆในอียิปต์ต่างดึงดูดนักท่องเที่ยว นักประพันธ์กว่าหลายศตวรรษที่ผ่านมา

ปัจจุบันมีการค้นพบวัตถุใหม่ๆในอียิปต์มากมายซึ่งกำลังตรวจสอบถึงประวัติความเป็นมา เพื่อเป็นหลักฐานให้แก่อารยธรรมอียิปต์ และเป็นหลักฐานแก่อารยธรรมของโลกต่อไป

ลำดับราชวงศ์
ปลายยุคก่อนราชวงศ์แห่งอียิปต์โบราณ
ยุคราชวงศ์ (ดูได้ที่ ลำดับราชวงศ์และฟาโรห์แห่งอียิปต์)
ราชวงศ์ต้นๆ (ราชวงศ์ที่หนึ่ง และ ราชวงศ์ที่สอง)
ราชอาณาจักรเก่า (ราชวงศ์ที่สาม ถึง ราชวงศ์ที่หก)
ช่วงต่อระยะที่หนึ่ง (ราชวงศ์ที่เจ็ด ถึง ราชวงศ์ที่สิบเอ็ด)
ราชอาณาจักรกลาง (ราชวงศ์ที่สิบเอ็ด ถึง ราชวงศ์ที่สิบสี่)
ช่วงต่อระยะที่สอง (ราชวงศ์ที่สิบห้า ถึง ราชวงศ์ที่สิบเจ็ด)
ราชอาณาจักรใหม่ (ราชวงศ์ที่สิบแปด ถึง ราชวงศ์ที่ยี่สิบ)
ช่วงต่อระยะที่สาม (ราชวงศ์ที่ยี่สิบเอ็ด ถึง ราชวงศ์ที่ยี่สิบห้า)
ยุคปลาย (ราชวงศ์ที่ยี่สิบหก ถึง ราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ด)
ยุคกรีก - โรมัน(พ.ศ. 211 ถึง พ.ศ. 1182)
กษัตริย์มาซิโดเนีย (พ.ศ. 211 ถึง พ.ศ. 238)
ราชวงศ์ปโตเลมี (พ.ศ. 238 ถึง พ.ศ. 513)
อียิปต์ตุส (รัฐหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน พ.ศ. 513 ถึง พ.ศ. 1182)
มุสลิมบุกอียิปต์ (พ.ศ. 1182)

ศิลปะอียิปต์โบราณ
ศิลปะอียิปต์ ( 2650 ปีก่อน พ.ศ. - พ.ศ. 510) ชาวอียิปต์มีศาสนาและพิธีกรรมอันซับซ้อน แทรกซึมอยู่เป็นวัฒนธรรมอยู่ในสังคมเป็นเวลานาน มีการนับถือเทพเจ้าที่มีลักษณะอันหลากหลาย ดังนั้น งานจิตรกรรม ประติมากรรม และ สถาปัตยกรรมส่วนมากจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา พิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีฝังศพ ซึ่งมีความเชื่อว่าเมื่อตายแล้วจะยังมีชีวิตอยู่ในโลกใหม่ได้อีก จึงมีการรักษาศพไว้อย่างดี และนำสิ่งของเครื่องใช้ที่มีค่าของผู้ตายบรรจุตามลงไปด้วย

จิตรกรรม
งานจิตรกรรมของอียิปต์ เป็นภาพที่เขียนไว้บนฝาผนังสุสานและวิหารต่าง ๆ สีที่ใช้ เขียนภาพทำจากวัสดุทางธรรมชาติ ได้แก่เขม่าไฟ สารประกอบทองแดง หรือสีจากดินแล้วนำมาผสมกับน้ำและยางไม้ ลักษณะของงานจิตรกรรมเป็นงานที่เน้นให้เห็นรูปร่างแบน ๆ มีเส้นรอบ นอกที่คมชัด จัดท่าทางของคนแสดงอิริยาบถต่าง ๆ ในรูปสัญลักษณ์มากกว่าแสดงความเหมือนจริงตามธรรมชาติ มักเขียนอักษรภาพลงในช่องว่างระหว่างรูปด้วย และเน้นสัดส่วนของสิ่งสำคัญในภาพให้ใหญ่โตกว่าส่วนประกอบอื่น ๆ เช่นภาพของกษัตริย์หรือฟาโรห์ จะมีขนาดใหญ่กว่า มเหสี และคนทั้งหลาย นิยมระบายสีสดใส บนพื้นหลังสีขาว
ประติมากรรม
งานประติมากรรมของอียิปต์ จะมีลักษณะเด่นกว่างานจิตรกรรม มีตั้งแต่รูปแกะสลักขนาดมหึมาไปจนถึงผลงานอันประณีตบอบบางของพวกช่างทอง ชาวอิยิปต์นิยมสร้างรูปสลักประติมากรรมจากหินชนิดต่าง ๆ เช่น หินแกรนิต หินดิโอไรด์ และหินบะซอลท์ หรือบางทีก็ เป็นหินอะลาบาสเตอร์ ซึ่งเป็นหินเนื้ออ่อนสีขาว ถ้าเป็นประติมากรรมขนาดใหญ่ก็มักเป็นหินทราย นอกจากนี้ยังการมีทำจากหินปูน และไม้ซึ่งมักจะพอกด้วยปูนและระบายสีด้วย งานประติมากรรมขนาดเล็กมักจะทำจากวัสดุมีค่า เช่น ทองคำ เงิน อิเลคตรัม หินลาปิสลาซูลี เซรามิค ฯลฯ
ประติมากรรมของอียิปต์มีทั้งแบบนูนต่ำ แบบลอยตัว แบบนูนต่ำมักจะแกะสลักลวดลายภาพบนผนัง บนเสาวิหาร และประกอบรูปลอยตัว ประติมากรรมแบบลอยตัวมักทำเป็น รูปเทพเจ้าหรือรูปฟาโรห์ ที่มีลักษณะคล้ายกับเทพเจ้า นอกจากนี้ยังทำเป็นรูปข้าทาสบริวาร สัตว์เลี้ยง และ สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่อใช้ประกอบในพิธีศพอีกด้วย ในที่นี้ทางเราจึงให้ข้อมูลครบถ้วน

สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมอียิปต์ ใช้ระบบโครงสร้างเสาและคาน แสดงรูปทรงที่เรียบง่ายและ แข็งทื่อ ขนาดช่องว่างภายในมีเล็กน้อยและต่อเนื่องกันโดยตลอด สถาปัตยกรรมสำคัญของชาวอียิปต์ได้แก่ สุสานที่ฝังศพ ซึ่งมีตั้งแต่ของประชาชนธรรมดาไปจนถึงกษัตริย์ ซึ่งจะมีความวิจิตร พิสดาร ใหญ่โตไปตามฐานะ และอำนาจ ลักษณะของการสร้างสุสานที่เป็นสถาปัตยกรรมสำคัญแห่งยุคก็คือ ปิรามิด ปิรามิดในยุคแรกเป็นแบบขั้นบันได หรือเรียกว่า มัสตาบา ต่อมามีการพัฒนา รูปแบบวิธีการก่อสร้างจนเป็นรูปปิรามิดที่เห็นในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีการสร้างวิหารเทพเจ้า เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมของนักบวช และวิหารพิธีศพ เพื่อใช้ประกอบพิธีศพ ในสมัยอาณาจักรใหม่ (1020 ปีก่อน พ.ศ. - พ.ศ. 510) วิหารเหล่านี้มีขนาดใหญ่โต และสวยงาม ทำจากอิฐและหิน ซึ่งนำรูปแบบวิหารมาจากสมัยอาณาจักรกลางที่เจาะเข้าไปในหน้าผา บริเวณหุบผากษัตริย์และ หุบผาราชินี ซึ่งเป็นบริเวณที่มีสุสานกษัตริย์และราชินีฝังอยู่เป็นจำนวนมาก

ข้อมูลทั่วไป ประเทศอินอียิปต์

อียิปต์ (egypt) สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์  (Arab Republic of Egypt)  หรือที่เรียกโดยทั่วไปว่า อียิปต์  (Egypt)  (อาหรับ: مصر (มิศรุ), ถ่ายเขียนเป็นอักษรโรมันว่า Mişr หรือ Maşr ในภาษาถิ่นของอียิปต์)  เป็นประเทศในแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือที่มีประชากรมากที่สุด

ประเทศอียิปต์มีพื้นที่ประมาณ 1,020,000 กม.  ซึ่งรวมถึงคาบสมุทรซีนาย  (ถ้าเป็นส่วนหนึ่งของเอเชียตะวันตกเฉียงใต้)  ในขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศตั้งอยู่ในแอฟริกาเหนือ มีพรมแดนด้านตะวันตกติดกับประเทศลิเบีย ด้านใต้ติดกับ ประเทศซูดาน ด้านตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศอิสราเอล ชายฝั่งทางเหนือติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทางตะวันออกติดกับทะเลแดง

ประเทศนี้มีชื่อเสียงในด้านอารยธรรมโบราณ รวมถึงอนุสาวรีย์โบราณที่น่าตื่นตาที่สุดในโลก ได้แก่ พีระมิด อารามคาร์นัค และหุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings) ในปัจจุบัน อียิปต์ถือว่าเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมของโลกอาหรับ

ชื่อ  Egypt  มาจากชื่อภาษาละตินว่า  Aegyptus และชื่อภาษากรีก ว่า  Αιγυπτος (Aiguptos: ไอกึปตอส นิยมใช้ในภาษาไทยว่า ไอยคุปต์) จากภาษาอียิปต์โบราณว่า  Hi-ku-ptah: ฮิ-คุ-ปตาห์ ซึ่งเป็นชื่ออารามที่เมืองเมืองเทเบส
 เมืองหลวง ไคโร (อัลกอฮิเราะห์)
 ภาษาราชการ ภาษาอาหรับและมาสร
 สกุลเงิน ปอนด์อียิปต์ (LE) (EGP)

ตราสัญลักษณ์ประเทศอียิปต์ธงชาติประเทศอียิปต์
ตราสัญลักษณ์อียิปต์
ธงชาติอียิปต์

ภูมิศาสตร์อียิปต์
อียิปต์ตั้งอยู่บนมุมสุดทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา และบริเวณเหนือข้ามคลองสุเอซไปในคาบสมุทรไซนาย มีอาณาเขตติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
  • ภาคเหนือ ติดอิสราเอล
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ติดทะเลแดง
  • ภาคตะวันออก ติดซูดานทางภาคใต้ และติดลิเบียทางภาคตะวันตก 
อียิปต์เป็นประเทศที่มีแผ่นดินเชื่อมต่อระหว่างทวีปแอฟริกากับเอเชีย ผ่านตะวันออกกลาง ซึ่งจะเป็นจุดเชื่อมต่อที่มีความสำคัญมาแต่โบราณ หลังจากได้มีการขุดและเปิดใช้คลองสุเอซ เมื่อปี พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1869) เส้นทางผ่านคลองสุเอซของอียิปต์ได้กลายเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก


ภูมิอากาศอียิปต์
กลางวันและกลางคืนในอียิปต์มีอุณหภูมิแตกต่างกันมาก อียิปต์มีภูมิอากาศแบบ ร้อน แห้ง และอากาศหนาวระดับปานกลาง แบ่งเป็น 4 ฤดู ดังนี้ คือ

  • ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) อุณหภูมิ 15-32 °C
  • ฤดูร้อน (มิถุนายน -สิงหาคม) อุณหภูมิ 21-43 °C
  • ฤดูใบไม่ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) อุณหภูมิ 19-34 °C
  • ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) อุณหภูมิ 8-20 °C เป็นเดือนที่อาจมีฝนตก แต่ปริมาณน้ำฝนใม่มากนัก เฉลี่ย 42 ม.ม.
ศาสนาอียิปต์
ในอดีตชาวอียิปต์นับถือเทพเจ้าและมีกษัตริย์ที่เรียกว่า "ฟาโรห์"และในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย พระเจ้าอโศกได้ทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับอียิปต์และได้เผยแพร่พระพุทธศาสนาในเขตเมืองอเล็กซานเดรีย (ดูเพิ่มได้ใน พุทธศาสนาในประเทศอียิปต์) แต่ในปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่ 94%  นับถือศาสนาอิสลาม นิกายสุหนี่ อีก 6%  นับถือศาสนาคริสต์ นิกายคอปติก

เงินตราอียิปต์

ปอนด์อียิปต์ เป็นสกุลเงินของประเทศอียิปต์ มีอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 5.66 ปอนด์อียิปต์ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 6 บาท ต่อ 1 ปอนด์อียิปต์
เหรียญที่ใช้ได้แก่ เหรียญ 5, 10, 20, 25, 50 ปิอาสเตอร์ และ 1 ปอนด์
ธนบัตรที่ใช้ได้แก่ ธนบัตร 5, 10, 25, 50 ปิอาสเตอร์, 1, 5, 10, 20, 50, 100 และ 200 ปอนด์ และสามารถแลกเงินเป็นของไทยได้ 5 บาทต่อ 10 ปิอาสเตอร์
ธนาคารอียิปต์
ธนาคารในประเทสอียิปต์ส่วนใหญ่จะเปิดทำการวันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี เวลา 8.30 -15.00 น. รวมทั้งธนาคาร และสถานที่ราชการบางแห่งจะเปิดทำการวันเสาร์-วันพุธ เวลา 8.30-14.00 น.
กิจการร้านค้าในอียิปต์ทั่วไป เปิดจำหน่ายทุกวัน 
เวลา 10.00-22.00 น. หรือบางแห่งจะปิดเฉพาะวันศุกร์
เวลาอียิปต์
เดือนตุลาคม – เมษายน เวลาในประเทศอียิปต์ช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง (+3 เวลากรีนิช)
เดือนพฤษภาคม-กันยายน เวลาในประเทศอียิปต์ช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง (+2 เวลากรีนิช)

ดอกไม้ประจำชาติอียิปต์
ดอกไม้ประจำประเทศอียิปต์ คือ ดอกบัวอียิปต์ Egyptian Water Lily หรือ Nymphaea


สนับสนุนโดย  จับใส่ตะกร้าล้างน้ำคอร์สสัมนาที่จะเปลี่ยนคุณให้เป็นมนุษย์เงินล้าน

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิวสวยๆของแม่น้ำไนล์

วันนี้พาไปเที่ยวอียิปต์คะ
ถ้าได้ไปกินข้าวพร้อมกับล่องเรือยามเย็นที่แม่น้ำไนล์จะสุดยอดมากๆเลยคะ
ช่วงที่พระอาทิต์กำลังจะตกที่แม่น้ำไนล์ สวยมากๆคะ


แม่น้ำไนล์...สายเลือดแห่งอียิปต์

        
แม่น้ำไนล์...สายเลือดแห่งอียิปต์


แม่น้ำไนล์ แม่น้ำสายหลักแห่งทวีปแอฟริกาและแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาว 6,695 กิโลเมตร

แม่น้ำไนล์เกิดจากการรวมตัวของแม่น้ำสายใหญ่ 2 สายคือ แม่น้ำบลูไนล์ จากประเทศเอธิโอเปีย และแม่น้ำไวท์ไนล์  จากบริเวณแอฟริกาตะวันออก มารวมตัวกันในประเทศซูดาน จากนั้นไหลผ่านประเทศอียิปต์ และไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน



แม่น้ำไวท์ไนล์ แม่น้ำไวท์ไนล์ กำเนิดจากทะเลสาบวิกตอเรีย ซึ่งอยู่ระหว่างประเทศยูกันดา ประเทศเคนยา และประเทศแทนซาเนีย แม่น้ำไนล์ช่วงที่ไหลออกจากทะเลสาบวิกทอเรีย จะเรียกแม่น้ำวิกตอเรียไนล์ ซึ่งไหลไปยังทะเลสาบแอลเบิร์ท ในช่วงนี้จะเรียก แม่น้ำแอลเบิร์ทไนล์ ไหลไปที่ประเทศซูดาน รวมกับแม่น้ำหลายสาย และเรียกว่าไวท์ไนล์ตอนกลางประเทศก่อนจะไปรวมกับบลูไนล์

แม่น้ำบลูไนล์
แม่น้ำบลูไนล์ กำเนิดในประเทศเอธิโอเปีย และไหลผ่านเข้าซูดานไปรวมกับไวท์ไนล์เลย
 
แม่น้ำไนล์เป็นแม่น้ำสายที่หล่อเลี้ยงทวีปแอฟริกาที่แห้งแล้ง จนทำให้เกิดอารยธรรมโบราณขึ้นมากมาย โดยที่รู้จักกันดีคืออารยธรรมอียิปต์ เมื่อสมัยกว่าห้าพันปีที่แล้วและยังสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับพื้นที่แถบนั้นด้วย